Categories:

หุ้นเติบโต

หุ้นปันผล และหุ้นเติบโต เป็น 2 ฝักสองฝ่ายที่มีข้อดีทั้งคู่ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการเติบโตด้านราคาหุ้น หรือจะเป็นการรับปันผลทุกไตรมาสหรือทุกเดือนแบบไม่กำไรทิพย์ แล้วหุ้นแบบไหนที่เหมาะกับเรา มือใหม่ไม่รู้จะเลือกหุ้นอะไรดี ต้องดูที่

  • เป้าหมายทางการเงิน
  • ระยะเวลาการลงทุน
  • และความเสี่ยงที่พร้อมจะรับได้

ต่อไปไปดูข้อดีและข้อเสียของหุ้นทั้ง 2 ประเภทกันครับ

หุ้นปันผล

หุ้นเติบโต (Growth Stocks)

หุ้นเติบโต คือหุ้นของบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคต มักจะเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ หรือบริษัทในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต เช่น เทคโนโลยี, สุขภาพ, และพลังงานทดแทน หุ้นเหล่านี้มักจะไม่จ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น เนื่องจากบริษัทมักจะนำกำไรไปลงทุนขยายธุรกิจต่อไป

ข้อดีของหุ้นเติบโต:

  • ศักยภาพในการเติบโตสูง: หุ้นเติบโตมักมีอัตราการเติบโตของรายได้และกำไรที่สูงกว่า ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
  • เพิ่มมูลค่าหุ้นในอนาคต: หากบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มูลค่าของหุ้นจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลกำไรจากการขายหุ้นในราคาที่สูงขึ้น
  • เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว: การลงทุนในหุ้นเติบโตมักจะเหมาะกับนักลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนยาวนาน และพร้อมที่จะรับความผันผวนของตลาด

ข้อเสียของหุ้นเติบโต:

  • ความเสี่ยงสูง: หุ้นเติบโตมีความผันผวนสูง เนื่องจากขึ้นอยู่กับการคาดการณ์การเติบโตในอนาคตที่อาจไม่เป็นไปตามที่คาด
  • ไม่มีปันผล: นักลงทุนในหุ้นเติบโตจะไม่ได้รับปันผล ซึ่งทำให้ไม่สามารถใช้รายได้จากปันผลในการสร้างกระแสเงินสดได้ ถ้าเราไม่ขายก็จะไม่มีทางได้กำไรจริงๆจะเป็นกำไรทิพย์อาจจะต้องหารายได้เสริมทางอื่นมาใช้ในชีวิตประจำวันแทน เช่นงานประจำ หรือหวยไว
  • ต้องติดตามการเติบโตของบริษัทอย่างใกล้ชิด: เนื่องจากหุ้นเติบโตมีความผันผวนสูง จึงต้องคอยติดตามการดำเนินงานของบริษัทและอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง

หุ้นปันผล (Dividend Stocks)

หุ้นปันผล คือหุ้นของบริษัทที่มีผลกำไรและจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเป็นประจำ เช่น หุ้นของบริษัทที่มีธุรกิจมั่นคงและมีกระแสเงินสดที่ดี เช่น บริษัทน้ำมัน, พลังงาน, ธนาคาร, และธุรกิจที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก หุ้นปันผลมักจะจ่ายเงินปันผลทุกไตรมาสหรือทุกปี โดยเงินปันผลนี้มักจะเป็นรายได้ที่สม่ำเสมอสำหรับนักลงทุน

ข้อดีของหุ้นปันผล:

  • รายได้สม่ำเสมอ: นักลงทุนสามารถได้รับรายได้จากปันผลอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสามารถนำไปใช้จ่ายหรือลงทุนใหม่
  • เสถียรภาพและความมั่นคง: หุ้นปันผลมักมาจากบริษัทที่มีธุรกิจมั่นคงและมีผลกำไรที่สม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุน
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระแสเงินสด: หุ้นปันผลเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้จากการลงทุน หรือผู้ที่ต้องการปันผลเป็นแหล่งรายได้หลัก เช่น นักลงทุนในวัยเกษียณ
  • ลดความผันผวน: หุ้นปันผลมักมีความผันผวนต่ำกว่าหุ้นเติบโต เนื่องจากบริษัทที่จ่ายปันผลมักจะมีฐานลูกค้าหรือธุรกิจที่มั่นคง

ข้อเสียของหุ้นปันผล:

  • การเติบโตต่ำกว่า: หุ้นปันผลมักจะไม่เติบโตเร็วเท่ากับหุ้นเติบโต เนื่องจากบริษัทจ่ายเงินปันผลแทนที่จะนำกำไรไปลงทุนขยายธุรกิจ
  • การปรับลดปันผล: บางครั้งบริษัทอาจลดหรือหยุดการจ่ายปันผลหากเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก เช่น การขาดทุนหรือการเจอวิกฤตเศรษฐกิจ
  • ผลตอบแทนจากราคาหุ้นต่ำ: ราคาหุ้นของบริษัทที่จ่ายปันผลอาจจะไม่เพิ่มขึ้นมากเท่ากับหุ้นเติบโต ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการผลกำไรจากการเพิ่มมูลค่าหุ้น

การเลือกหุ้น: หุ้นเติบโต vs หุ้นปันผล

การเลือกว่าจะลงทุนใน หุ้นเติบโต หรือ หุ้นปันผล ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และลักษณะการลงทุนของแต่ละบุคคล ดังนี้:

  • หากคุณต้องการผลกำไรระยะยาวและยอมรับความเสี่ยงได้: หุ้นเติบโต อาจจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากมีโอกาสในการเติบโตที่สูงในระยะยาว แม้ว่าความเสี่ยงจะสูงขึ้นก็ตาม
  • หากคุณต้องการรายได้สม่ำเสมอและเสถียรภาพ: หุ้นปันผล อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากสามารถให้รายได้จากปันผลในระยะยาว และความเสี่ยงก็ต่ำกว่า
  • หากคุณกำลังมองหาการลงทุนที่มีความหลากหลาย: คุณอาจเลือก การผสมผสาน ทั้งสองประเภท เช่น การลงทุนในหุ้นเติบโตบางส่วนและหุ้นปันผลบางส่วน เพื่อให้มีทั้งการเติบโตในอนาคตและรายได้จากปันผลที่มั่นคง

สรุป

ทั้ง หุ้นเติบโต และ หุ้นปันผล ต่างมีข้อดีและข้อเสียที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ หากคุณเป็นนักลงทุนที่เน้นการเติบโตในระยะยาวและยอมรับความผันผวน หุ้นเติบโตอาจเหมาะสมกับคุณ แต่หากคุณต้องการการลงทุนที่มีรายได้สม่ำเสมอและเสถียรภาพ หุ้นปันผลจะเป็นทางเลือกที่ดีขึ้น ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความต้องการของคุณในการลงทุน

Tags:

Comments are closed